วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ฅนบันดาลใจ

 ทุกๆ วันจันทร์ เวลาประมาณ 13.32 น. - 14.40 น.

*************************** - - - *****************************
       เมื่อ 1009 เกิดมาเขาถูกทิ้งไว้อยู่บนหลังเปียโน และแสดงความเป็นอัจฉริยะครั้งแรกตอนอายุ 8 ขวบ เขาสามารถเล่นเปียโนได้โดยไม่ต้องมีใครสอน ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต 1900 ไม่เคยย่างเท้าก้าวออกจากเรือเวอร์จินเนียร์ เขาไม่เคยเห็นลำธาร ภูเขา ต้นไม้ และสิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกเรือด้วยสายตาของเขาเองแต่เขาเห็นสิ่งเหล่านี้ ผ่านคำบอกเล่าของนักเดินทางที่พูดถึงมันด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันไป 1900 รับรู้และถ่ายทอดจินตนาการนั้นออกมาด้วยดนตรีที่หลากหลายแนวทางอาจกล่าวได้ ว่าดนตรีของเขาไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ไม่มีการประพันธ์ล่วงหน้าแต่เล่นมาจากจินตนาการและอารมณ์ ขณะนั้นด้วยความเป็นเลิศทางดนตรีของเขาในไม่ช้าชื่อเสียงของ 1009 ก็เลื่องลือไปทั่วโลกจากคำบอกต่อๆกันของนักเดินทางว่ามีอัจฉริยะทางเปียโน ฝีมือดีที่สุดในโลกอยู่บนเรือเวอร์จิเนีย ใครที่อยากฟังเพลงของเขาต้องขึ้นไปบนเรือเท่านั้น 1900 จะไม่ลงจากเรือมาเล่นให้ใครฟังทั้งสิ้น ในที่สุดชื่อเสียงของ 1900 ก็ได้ยินไปถึง เจลลี โรล มอร์ดัน นักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ผู้ถูกยกย่องว่าเป็นผู้คิดค้นดนตรีแจ๊ส เมื่อเขาได้ยินว่าเด็กหนุ่มบนเรือเวอร์จิเนียเล่นเปียโนได้เก่งกว่าเขา นี่เป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้ จึงเดินทางมาที่เรือเวอร์จิเนียเพื่อขอท้าทาย 1900 และพิสูจน์ให้เห็นว่าใครกันแน่ที่เป็นเลิศทางเปียโน


      กฤษฏา รากแก่น ชายหนุ่มวัย 30 ต้น ๆ เป็นชาวอำเภอเขื่องใน จ. อุบลราชธานี พื้นฐานครอบครัวประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ตั้งแต่จำความได้ครอบครัวเขาก็ต้องเดินทางเร่ร่อนไปทำก่อสร้างตามเมืองใหญ่ ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในกรุงเทพ เมื่อเรียนจบ ปวช.3 เขาก็ออกมาทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทำงานกินเงินเดือนหาเลี้ยง ครอบครัว ต่อมาก็ออกมาทำก่อสร้างกับภรรยา ระหว่างที่กำลังทำงานรับจ้างอยู่ในเมือง ในใจเขาก็ร่ำร้องที่จะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านนอกทำไร่ทำนาอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยพื้นฐานครอบครัวตัวเองที่ทำงานรับจ้างมาตลอดไม่มีที่ดินเป็นของ ตัวเอง เขาก็ได้แต่รอ..แต่ไม่เคยเลิกหวัง วันหนึ่งกฤษฎาได้ดูรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งและได้ฟังพระราชดำรัสของในหลวง ท่านเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงทำไร่นาสวนผสม ทำให้เขาเกิดกำลังใจและตามมุ่งมั่นจะมีวิถีชีวิตตามแนวพระราชดำริอย่างแรง กล้า เขาจึงตัดสินใจละทิ้งสังคมเมืองที่ต้องหาเช้ากินค่ำเป็นลูกจ้างรายวัน จูงมือครอบครัวออกมาจากวงจรการเป็นกรรมกรก่อสร้างมุ่งหน้าสู่วิถีดั้งเดิม ของบรรพบุรุษคือการเป็นชาวนา โดยที่ตัวเองไม่มีต้นทุนชีวิตเลยสักอย่าง ทั้งความรู้เรื่องการทำเกษตร และที่ดินทำกินหรือเงินทุนและที่สำคัญคือ... เขาต้องอดทนต่อคำปรามาสจากพ่อแม่ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางชีวิตที่เขาเลือก เมื่อเขาพาครอบครัวกลับมาบ้านนอก พ่อของภรรยาก็แบ่งที่นาให้ 3 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่แห้งแล้งเป็นทรายไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เขาเริ่มต้นทำเกษตร โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาทดลองปลูกพืชผักตามหนังสือหรือคำแนะนำแต่ก็ต้องเจอกับความล้มเหลวครั้ง แล้วครั้งเล่านับร้อยครั้งพันครั้ง ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ สาเหตุสำคัญเพราะเขาไม่มีทุนทรัพย์จะมีก็เพียงแรงกายแรงใจเท่านั้น ระหว่างที่ฝันยังไม่เป็นจริงเขาก็ต้องหารายได้โดยการรับจ้างทำก่อสร้างบ้าง ก็ออกเก็บของเก่าสลับกันไปเพราะลูกเมียก็ต้องกินต้องใช้ ผู้คนในหมู่บ้านรวมทั้งครอบครัวภรรยาต่างก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำพากัน ดูถูกและหัวเราะกับความคิดของเขา แต่อุปสรรคต่างๆ ก็ไม่สามารถบั่นทอนความมุ่งมั่นของเขาได้แม้แต่น้อย ในกลับกันอุปสรรคเหล่านั้นกลับสร้างพลังให้เขามุ่งมั่นเดินตามความฝันของ ตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ แล้ววันหนึ่งเขาได้มีโอกาสดูรายการคนค้นฅน ตอน อรหันต์ชาวนา ซึ่งเป็นการทำนาแบบผสมผสาน ทำให้เขาเกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้าจึงเดินทางมาบ้านพี่แหลมที่อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ฝากตัวเป็นศิษย์เรียนรู้การทำเกษตร ทำนา ปลูกผัก เลี้ยงปลา เลี้ยงกบ และเพาะเห็ด วันที่เขาเรียนจบพี่แหลมได้มอบขอนไม้เห็ดให้เป็นของขวัญ กฤษฏาเดินทางกลับบ้านพร้อมกับขอนเห็ดในมือและหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ที่จะสร้างอนาคตของครอบครัวและจะดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำรัสของในหลวงท่าน อย่างที่เขาได้ตั้งปณิธานไว้ว่า “ชั่วชีวิตนี้จะไม่ยอมแพ้เขาจะพลิกฟื้นผืนดินที่แห้งแล้งจำนวน 3 ไร่ นี้ ให้กลายเป็นพื้นที่เขียวชอุ่ม”


 หญิงพิการไร้แขนและขา กว่า 40 ปีที่ต้องทำใจยอมรับต่อความพิการที่มีติดตัวมาด้วยตั้งแต่กำเนิด ทั้งๆที่พี่ของเธอทุกคนล้วนเป็นคนปกติ แต่ด้วยหัวจิตหัวใจที่ไม่พิการตามสภาพร่างกาย
    กอปรกับความอบอุ่นที่มีให้กันในครอบครัว ทำให้เธอไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตาที่ได้รับ และหันมาทำในสิ่งที่คนปกติอย่างเรายังต้องทึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น